คำว่า “อิสลาม” เป็นภาษาอรับ หมายถึง การนอบน้อม มอบตนจำนนต่ออัลลอฮ์ คือการยอมมอบตนตามประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าโดยสิ้นเชิง ยังหมายถึงความสันติความปลอดภัย อิสลามในฐานะเป็นชื่อของศาสนาใช้ตามคัมภีร์อุลกุรอาน
“มุสลิม” คือผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม คำว่ามุสลิม
ยังมีความหมายรวมถึงผู้ใฝ่สันติ ผู้ยอมมอบกายและหัวใจต่อพระเจ้า คนไทยที่นับถือศาสนาอิสลามจึงได้ชื่อว่า
ชาวไทยมุสลิม
“อัลลอฮ์” พระนามเฉพาะของพระเป็นเจ้า
หมายถึง พระนามของพระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลจักรวาล
ในศาสนาอิสลามนับถืออัลลอฮ์องค์เดียวเท่านั้น
ที่เป็นผู้บังเกิดโลกนี้และจักรวาลทั้งหลายมา
พร้อมทั้งเป็นผู้ทรงบังเกิดสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต สิ่งที่เรามองเห็นและสิ่งที่เรามองไม่เห็น
ทรงเป็นผู้สร้าง ทรงเป็นผู้ควบคุม ทรงเป็นผู้ดูแล
และเป็นผู้ทรงประทานสรรพสิ่งทั้งหลายมา
“อัลกุรอาน”
คัมภีร์ของศาสนาอิสลามซึ่งรวบรวมวะห์ยุ หรือพระดำรัสของอัลลอฮ์
ที่ประทานแก่ศาสดามุฮัมมัด ผ่านมลาอิกะฮ์ที่มีนามญิบรีล
เพื่อเป็นสิ่งชี้ทางแก่มนุษยชาติ ถ่ายทอดเป็นภาษาอาหรับ ประทานครั้งแรกในคืนอัลก็อดร์
คือคืนที่สำคัญที่สุดในเดือนเราะมาฎอน
หลักการของอิสลาม 2 ประการ คือ
หลักศรัทธา 6 ประการ และ หลักปฏิบัติ
5ประการ
หลักศรัทธา 6 ประการ คือ
1)
ศรัทธาในพระเจ้า(อัลลอฮ์)
2)
ศรัทธาในบรรดามลาอิกะฮ์ ของอัลลอฮ์ หรือเทวฑูต
3)
ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ของอัลลอฮ์
4)
ศรัทธาในบรรดาศาสดาหรือนบี (ศาสดาหรือนบี
แปลว่าผู้ประกาศหรือว่าแจ้งข่าว)
5)
ศรัทธาในวันตัดสินและการเกิดใหม่ในปรโลก
6)
ศรัทธาในกฎกําหนดสภาวะ
แห่งธรรมชาติ แห่งชีวิต
คําว่า “ ศรัทธา “ หมายถึง
ความเชื่อถือ ความเลื่อมใส
สําหรับหลักปฏิบัติ มี 5 ประการ คือ
1)
การปฏิญานตนว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และท่านนบีมูฮัมมัด
คือศาสนฑูตของพระองค์”
2)
การนมาซ หรือนมัสการวันละ 5 เวลา
คำว่า”นมาช”เป็นภาษาเปอร์เซีย แผลงเป็นภาษาไทยว่า “ละหมาด” เวลาที่กำหนดไว้
คือ ยํ่ารุ่งก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น บ่าย เย็น หัวคํ่า และยามดึกก่อนเที่ยงคืน การละหมาดอาจทําที่ใดก็ได้
แต่ต้องหันหน้าไปทางเมืองเมกกะประเทศซาอุดิอาระเบีย
3)
การถือศีลอด (1 เดือน คือเดือนที่ 9
ของฮิจเราะห์สักราช ตามปฏิทินทางจันทรคติของอิสลาม ซึ่งเรียกเดือน”เราะมะฎอน”)
4)
การบริจาคซะกาต
5)
การประกอบพิธีฮัจญ์. คือการไปเยี่ยมหรือการเดินทางไปมักกะฮ์
ศาสนาอิสลามได้เข้ามาสู่ประเทศตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย
โดยมีอิทธิพลอยู่บนแหลมมลายูก่อนแล้ว
เพราะมีหลักฐานปรากฏว่าชาวมุสลิมจากประเทศอาหรับและอินเดียได้เข้ามาทำการค้า
และเผยแพร่ศาสนาอิสลามแก่ผู้ที่อยู่บนแหลมมลายู ในสมัยกรุงศรีอยุธยาประมาณคริสตศักราช
1590 –
1605 ได้มีพ่อค้าชาวอาหรับจากประเทศเปอร์เซียชื่อ “เฉกอะหมัด” เข้ามาตั้งหลักแหล่งและค้าขายอยู่ในกรุงศรีอยุธยา
และพ่อค้าผู้นี้ ต่อมาได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ไทย
คือพระเจ้าทรงธรรมให้เป็นเจ้าพระยาเฉกอะหมัด ตำแหน่งสมุหนายกว่าราชการทางฝ่ายเหนือ
ท่านผู้นี้ได้เป็นบรรพบุรุษของตระกูลไทยในปัจจุบันหลายตระกูล
สำหรับชาวมุสลิมในจังหวัดภาคใต้ของไทยนั้นเป็นชนพื้นเมืองมาแต่ดั้งเดิม
มิได้สืบเชื้อสายมาจากชาวมุสลิมที่เข้ามาทำการค้า หรืออพยพมาจากดินแดนอื่น
เพราะมีหลักฐานปรากฏว่าชนชาติดั้งเดิมเหล่านี้ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บนแหลมมลายู
ตั้งแต่ก่อนคริสตศักราชเป็นเวลา 43 ปี และมีอาณาจักสำคัญ
คืออาณาจักรลังกาซู ต่อมาประมาณคริสตศักราช 220 ชนชาตินี้ก็ได้ก่อตั้งอาณาจักรขึ้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
และในคริสตศักราช 658 เกิดอาณาจักรขึ้นใหม่
คืออาณาจักรศรีวิชัย มีอิทธิพลแผ่ไปทั้วแหลมมลายู
และอาณาจักรที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ก็ตกอยู่ในอำนาจของอาณาจักรศรีวิชัยด้วย
จนกระทั่งถึงคริสตศตวรรษที่ 8 อาณาจักรศรีวิชัยเสื่อมอำนาจลง
และอาณาจักรใหม่เกิดขึ้นแทนที่ คืออาณาจักรมัชปาหิต ต่อมาถึงคริสตศักราช 1401
อาณาจักนี้ก็เสื่อมสลายลง และอิทธิพลของศาสนาอิสลามก็ได้แผ่เข้าแทนที่
วัฒนธรรมอินเดียที่เคยมีอยู่ในบริเวณนี้ประมาณปลายคริสตศตวรรษที่ 8 ถึงต้นคริสตศตวรรษที่ 9 ศาสนาอิสลามได้เข้าฝังรกรากในอาณาจักรปัตตานี
ซึ่งก่อตั้งโดยพระยาตนกูดันดารา และขยายตัวไปครอบคลุมจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในปัจจุบันชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามมีอยู่ทั่วประเทศ
ชาวไทยมุสลิมทุกคนที่เกิดในประเทศไทย ไม่ว่าจะมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่
ณ แห่งใด ถือว่าเป็นคนสัญชาติไทย
และมีสิทธิเสรีภาพตามกฎหมายเท่าเทียมกับชาวไทยที่นับถือศาสนาอื่น ๆ
สำหรับชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 4 จังหวัด
ได้แก่ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสตูล
รัฐบาลให้สิทธิพิเศษให้ใช้กฎหมายอิสลามในเรื่องครอบครัวและมรดก
เพื่อให้สอดคล้องกับหลักศาสนาและขนบธรรมเนียมประเพณี
จึงกำหนดกฎหมายให้มีผู้พิพากษาพิเศษขึ้น
มีหน้าที่ในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายอิสลาม นอกเหนือจากผู้พิพากษาที่มีประจำศาลอยู่แล้วเรียกว่ “ดาโต๊ะยุติธรรม”
ปัจจุบันศาสนาอิสลาม
มีองค์กรทางศาสนาที่ราชการรับรอง เรียกว่า สํานักจุฬาราชมนตรี โดยมีจุฬาราชมนตรีเป็นผู้นําสูงสุด มีโครงสร้างการบริหารเป็นกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย กรรมการกลางอิสลามประจําจังหวัด และกรรมการกลางอิสลามประจํามัสยิด
ในแต่ละมัสยิด(สุเหร่า) มีอิหม่าม คอเต็บ และบิหลั่น ประเภทละ 1 คน รวม 3 คน
เป็นผู้ปกครองดูแลสัปปุรุษ
อิสลามไม่มีนักบวชในศาสนา
ชื่อที่เรียกผู้นำในระดับต่างๆ มีความหมายดังนี้
อิหม่าม หมายถึง
ผู้นำศาสนาอิสลามประจำมัสยิด
คอเต็บ
หมายถึง
ผู้แสดงธรรมประจำมัสยิด
บิหลั่น หมายถึง
ผู้ประกาศเชิญชวนให้มุสลิมปฏิบัติศาสนกิจตามเวลา
คณะกรรมการกลาง หมายถึง
คณะกรรมการกลาง ศูนย์อบรมศาสนาอิสลามและจริยธรรมประจำมัสยิด
สัปปุรุษประจำมัสยิด
หมายถึง
มุสลิมที่คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดมีมติรับเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด
และมีชื่ออยู่ในทะเบียนสัปปุรุษประจำมัสยิด
และผู้นั้นจะเป็นสัปปุรุษเกินกว่าหนึ่งมัสยิดในเวลาเดียวกันไม่ได้
1.
รายงานสถิติด้านศาสนาของประเทศไทย
ปี 2542 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี
2.
คู่มือพื้นฐานอิสลาม อิมรอน บินยูซุฟ อลีย์ บินอิบรอฮีม เขียน สำนักพิมพ์อัล-อีหม่าน
3.
พจนานุกรม ศัพท์ศาสนาสากล อังกษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น