รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์
ได้กล่าวในงานสัมมนา “AEC: จุดเปลี่ยนประเทศไทย”
ว่า หลังสงครามเย็นสิ้นสุด 1989
เกิดจดเปลี่ยนไปทั่วโลก เพราะปัญหาเรื่องความมั่นคงจบไปแล้ว
และการแข่งขันการค้าแบบจริงจังได้เริ่มขึ้น รัฐบาลไทยโดยคุณอานันท์ ปันยารชุน
นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ได้เสนอกรอบข้อตกลง AFTA (ASEAN Free Trade Area) ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดหากปัญหาสงครามเย็นไม่ยุติลงไป วิสัยทัศน์ประเทศไทยในปี 2000
เราก็ได้เห็นประเทศเวียดนามเข้ามาเป็นสมาชิกอาเซียน (Association of
Southeast Asian Nations : ASEAN) และอาเซียนมองว่าต่อไปข้างหน้าจะกลายเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
(Asean Economics Community-AEC) แน่นอนจะเป็นเขตการค้าเสรีในภูมิภาครวมทั้ง
จีน เกาหลี ญี่ปุ่น
ซึ่งนั่นเป็นเค้าลางของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เพราะสมัยนั้นการซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศไทยยังเล็กอยู่
และต่อไปตลาดหุ้นก็จะรวมกันกลายเป็นตลาดเดียว แต่ขณะนี้ยังไม่ถึงกับขั้นนั้น
แต่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลง หนึ่ง
ตลาดหุ้นเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงขยายตัวทุนนิยม สอง
ทุนนิยมโดยเอกชนจะขยายตัวเป็นดอกเห็ด
ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ สาม
เกิดการเปิดประเทศอันเป็นผลมาจากทุนนิยมขยายตัวบริษัทเอกชนขยายตัวเป็นแรงกดดันให้การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น
เกิดการแข่งขันเพิ่มขึ้น และการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นทำให้เกิดการแสวงหาความรู้ใหม่ๆ
เพิ่มเติม มหาวิทยาลัยเปิดเพิ่มขึ้นเป็นดอกเห็ดการแข่งขันทำให้ผู้ประกอบการล้มลุกคลุกคลานมีทั้งเปิดใหม่
มีทั้งปิดกิจการ ร้านค้าสะดวกซื้อเข้ามาในตลาด
สินค้าในไทยจะถูกแทรกด้วยสินค้าจากต่างประเทศ สินค้าประเภทอาหาร
พฤติกรรมด้านการบริโภคอาหารในประเทศก็จะเปลี่ยนไป
มีการรับประทานอาหารเวียดนามเพิ่มขึ้น อาหารอินเดียเพิ่มขึ้น
รวมไปถึงต่อไปก็รับประทานอาหารแบบมาร์โคโปโล คือ อาหารผสมผสานสไตล์ท้องถิ่นที่มาร์โคโปโลเคยเดินทางไปผสมกับอาหารอิตาลี
ขณะเดียวกันอาหารไทยก็ไปทั่วโลกได้เช่นเดียวกัน โลกเปลี่ยนอย่างไร
การเปลี่ยนแปลงนั้นกระทบกับเราอย่างไร และจะรอดได้อย่างไร
นี่คือกลยุทธ์ที่เราต้องศึกษา จุดเปลี่ยนประเทศไทยรอบ 2 เกิดจาก AEC เพราะ AEC เป็นขบวนการรวมกลุ่มซึ่งหมายถึง 4 องค์ประกอบด้วยกัน คือ ขบวนการรวมกลุ่มเพื่อเปิดเสรีสินค้า
เปิดเสรีบริการ เปิดเสรีเงินทุน และเปิดเสรีแรงงาน อย่างอื่นเป็นผลติดตามมา ยุโรปได้บรรลุความเป็นตลาดร่วมในปี
1992 เปิดเสรีทั้งสินค้า บริการ เงินทุน เพราะพัฒนามานานแล้ว
เราจะเห็นว่าการรวมกันนั้นต้องเริ่มที่สินค้าก่อน คือ
เขตการค้าเสรีโดยกำแพงภาษีเป็น 0% และโควตาเป็น 0% ต่อจากนั้นในระดับสอง สินค้ามาจากต่างประเทศต้องเสียภาษีในอัตราเดียวกัน
(สหภาพศุลกากร) และลำดับสาม คือ เงินทุนและแรงงาน เราสังเกตได้ว่าเมื่อเริ่มต้นที่การเปิดเสรีการค้า
ต่อมาก็คือการลงทุน คือเข้ามาตั้งโรงงานหรือตั้งบริษัททำธุรกิจ
มีการเทกโอเวอร์กิจการกันอย่างแพร่หลาย
เพื่อให้ธุรกิจหรือกิจการใหญ่ขึ้นแข็งแรงมากขึ้น เพราะต่อไปไม่ใช่ตลาดมีเพียง 60 ล้านคน แต่ตลาดใหญ่ขึ้นเป็นกว่า 600 ล้านคน
และขยายไปถึงจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ซึ่งตลาดยิ่งใหญ่มากขึ้นไปอีก เราจะเห็นดีล (Deal)
ใหญ่ๆ เพิ่มมากขึ้นแน่นอน มีข้อสังเกตว่าแม้ทุกวันนี้มีการร่วมเป็นประชาคมยุโรปตลาดเดียวก็ยังไม่จบ
เพราะขบวนการด้านสินค้า บริการ เงินทุน และแรงงาน อาทิ บริการทางการเงินยังไม่จบ
จบแต่ตัวสินค้าปัจจุบัน 6 ชาติสมาชิกอาเซียนเดิมเปิดเสรีการค้าต่อกันแล้ว
(ยังมีข้อยกเว้นบางชนิดของสินค้า) ประมาณ 99.8% สำหรับลาว
เวียดนาม กัมพูชาและพม่า กำแพงภาษีเหลือ 5% เท่านั้น
และจะเหลือ 0% ในอีก 2 ปีข้างหน้า
ด้านเปิดเสรีบริการและลงทุนนั้นคีย์สำคัญที่ต้องดำเนินการคือ กฎหมาย
ซึ่งหมายถึงต้องแก้กฎหมายให้ต่างชาติเข้ามาถือครองหุ้นได้มากกว่าที่ดำเนินการอยู่ในวันนี้ เป้าหมายเมื่อรวมเป็นประชาคมเศรษฐกิจเดียวกันแล้ว
สมาชิกอาเซียนสามารถถือครองหุ้นได้ 70% ได้แก่ ธุรกิจบริการ
ไอที ท่องเที่ยว การบิน เฮลธ์แคร์ (4
รายการนี้ดำเนินได้แล้วในปัจจุบัน) และโลจิสติกส์ และ 7
การลงทุนซึ่งได้แก่ ด้าน เกษตร ยาง ออโตโมทีฟ เฟอร์นิเจอร์ การเงิน ประกันชีวิต
ประกันวินาศภัย ซึ่งเชื่อว่าต่อไป จะถือหุ้นได้ถึง 100%
ขณะที่ประเทศนอกกลุ่มถือหุ้นได้ไม่เกิน 49%
ซึ่งหมายรวมถึงทั้งธุรกิจการเงิน ธุรกิจประกันชีวิต ธุรกิจประกันภัย ด้วยในท้ายที่สุดไม่ใช่เปิดลงทุนเฉพาะด้านอย่างที่เราได้ตกลงกันแล้วในขณะนี้
และจะไม่หยุดแค่เปิดเสรีลงทุนเพียงแค่นี้เท่านั้น
จะต้องเปิดเพิ่มเสรีการลงทุนเพิ่มอีก AEC
จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงลึก เป็นต้นว่าระบบภาษีที่ใช้กันอยู่
ต่อไปต้องใช้อัตราใกล้เคียงกันหรือเหมือนกันทั้งหมด
และสำคัญที่สุดเรื่องมาตรฐานก็ต้องใช้ “มาตรฐาน” แบบเดียวกันทั้งหมดนี่คือเรื่องราวที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
หรือสิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้น
ที่มา รศ.ดร.สมชาย
ภคภาสน์วิวัฒน์ ในงานสัมมนา “AEC: จุดเปลี่ยนประเทศไทย”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น