วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประวัติความเป็นมาและการก่อตั้งประเทศมาเลเซีย


                 จากข้อมูลประวัติศาสตร์มาเลเซียได้รับอิทธิพลจากอินเดียและจีนศูนย์กลางแห่งอารยธรรมเก่าแก่ทั้งสองตั้งอยู่ทางตะวันตกและตะวันออก อิทธิพลนี้รุนแรงมากในบางยุคโดยเฉพาะอิทธิพลจากอินเดีย มาเลเซียได้รับอิทธิพลจากอินเดียมากในส่วนที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมสมัยต้นและศาสนาของตนอิทธิพลจีนจะน้อยกว่า ดังที่เราจะเห็นว่าอิทธิพลของจักรวรรดิจีนส่วนใหญ่มักจะไม่มีในทางตรงนอกจากนี้ที่ตั้งภูมิศาสตร์ก็เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อมาเลเซียในประวัติศาสตร์สมัยต้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ ที่มาเลเซียตั้งอยู่ระหว่างอินเดียและจีนเท่านั้นปัจจัยทางด้านภูมิศาสตร์อื่นๆยังช่วยเพิ่มพูนความสำคัญของที่ตั้งของมาเลเซียอีกด้วยต่างจากประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศที่อยู่ครึ่งทางระหว่างอินเดียและจีนแต่น้อยประเทศ ที่มีข้อได้เปรียบเป็นพิเศษแบบมาเลเซีย     มาเลเซียตะวันตกเป็นส่วนหนึ่งของคาบสมุทรที่ยื่นออกไปทางใต้จากผืนทวีปเอเชียและล้อมรอบด้วยทะเลเกือบหมด ถ้าต้องการแล่นเรือออกจากเมืองจีนไปยังอินเดียก็จะต้องแล่นเลียบฝั่งมาเลเซียทั้งทางตะวันออกและตะวันตก แต่ถ้าหากว่าไม่ต้องการแล่นเรือไปตลอดทางคาบสมุทรมลายูซึ่งแคบในตอนเหนือก็เป็นสถานที่ที่อำนวยความสะดวกที่สุดสำหรับการถ่ายเทสินค้าจากทะเลจีนไปยังมหาสมุทรอินเดีย คาบสมุทรมลายูและชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกเฉียงเหนือของบอร์เนียวก็มีบทบาทสำคัญในแผนการเดินทางทั้งนี้เพราะลมมรสุมเป็นปัจจัยสำคัญทั้งทางด้านภูมิศาสตร์และภูมิอากาศเนื่องจากมาเลเซียเป็นสถานที่ที่ลมมรสุมพัดมาบรรจบกันแต่ในสมัยที่มีการเดินเรือ ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งลมมรสุมเป็นลมที่พัดจากสองทิศทางตามเวลาต่างกันในรอบปีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดข้ามมหาสมุทรอินเดียจากเส้นศูนย์สูตรระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคมส่วนลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดจากฝั่งทะเลจีนและข้ามทะเลจีนระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือน เมษายน กล่าวได้ว่าลมมรสุมทั้งสองนี้จะมาบรรจบกันที่คาบสมุทรมลายูหรือโดยทั่วๆไปในบริเวณหมู่เกาะมาเลเซียเรือที่แล่นมาจากเมืองจีนก็จะแล่นลงมาทางใต้ตามลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือส่วนเรือที่มาจากอินเดียก็จะมาทางตะวันออกตามลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เมื่อลมมรสุมเปลี่ยนเรือก็สามารถเดินทางกลับได้ฉะนั้นคาบสมุทรมลายูและฝั่งทะเลตะวันตกเฉียงเหนือของบอร์เนียวจึงอยู่ในที่ตั้งที่ได้เปรียบในการอำนวยที่จอดพักสำหรับผู้ที่จะเดินทางโดยตลอดจากอินเดียไปยังจีน หรือสำหรับผู้ที่จะรอคอยลมมรสุมเปลี่ยนหรือสำหรับผู้ที่จะเดินทางเพียงครึ่งทางเท่านั้นแต่จะได้พบปะกับพวกพ่อค้าด้วยกัน ที่พักครึ่งทางแห่งนี้ อาทิ พ่อค้าชาวจีนสามารถลงมาทางใต้ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือน เมษายน ทำธุรกิจของตนให้เสร็จเรียบร้อยแล้วเดินทางกลับได้ในระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือน สิงหาคม  ด้วยเหตุนี้มาเลเซียจึงก้าวเข้ามามีความสำคัญในประวัติศาสตร์โลก       เพราะมี ข้อได้เปรียบจากสภาพทางภูมิศาสตร์เอื้ออำนวย อันที่จริงที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของมาเลเซียนับว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะต้องคำนึงถึงถ้าเราต้องการจะเข้าใจอดีตและแม้แต่ปัจจุบันหรืออนาคตของมาเลเซีย ภูมิศาสตร์ได้ชักนำมาเลเซียให้เข้ามาสู่เวทีประวัติศาสตร์โลกและภูมิศาสตร์ที่ไม่มีประเทศอื่นขนาบแต่                         เปิดโล่งให้แก่โลกภายนอก ดังนั้น มาเลเซียจึงได้สัมผัสกับอารยธรรมต่างๆและคนชาติต่างๆมากใน ประวัติศาสตร์สมัยแรกๆ ของมาเลเซีย คนชาติต่างๆ เหล่านี้นำเอาวัฒนธรรมและอารยธรรมการค้าและ   การพาณิชย์ ศาสนาต่างๆ และระบบการเมืองต่างๆ มาให้มาเลเซีย ต่อมาก็มีผู้คนจากอินเดียและจีนเขามา  ตั้งถิ่นฐาน ในชั้นแรกยังมีจำนวนเพียงเล็กน้อย แต่ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19  เมื่อแหล่งแร่และแหล่งกสิกรรมของมาเลเซียถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างเป็นกิจจะลักษณะแล้วจึงมีผู้เข้ามาตั้งหลักแหล่งกันเป็น จำนวนมากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของมาเลเซียยังทำให้มาเลเซียได้รับเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ประยุกต์    นับแต่ช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 19  อีกด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้มาเลเซียกลายเป็นประเทศที่มีมาตรฐาน     การครองชีพสูงที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชียทุกวันนี้การที่ที่ตั้งของมาเลเซียอยู่ใกล้เส้นทางการค้าระหว่าง ตะวันออกกับตะวันตก ย่อมหมายถึงว่ามาเลเซียได้เรียนรู้สิ่งประดิษฐ์ของยุโรปสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 อย่างรวดเร็ว ฉะนั้น จากสภาพภูมิศาสตร์จึงทำให้มาเลเซียมีพลเมืองหลายชาติหลายภาษา และกลายเป็น ประเทศที่เศรษฐกิจก้าวหน้ามากที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย หากย้อนไปถึงประวัติศาสตร์ทางการเมืองและประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจของมาเลเซีย เราก็จะได้เห็นว่า เส้นทางการค้าและการเดินทางสำรวจมีอิทธิพลต่อฐานะของมาเลเซียในโลกอย่างไร เราจะเห็นว่ามลายูและบรูไนรุ่งเรืองนับแต่ในสมัยที่มีสุลต่านปกครองมะละกาเมื่อการค้าระหว่างตะวันออกกับตะวันตกผ่านเข้ามาทางช่องแคบมะละกาและมะละกาเองก็เป็นเมืองท่าสำหรับหมู่เกาะทั้งหมดด้วยต่อมาเมื่อการค้าของเขตนี้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของชาวฮอลันดา เส้นทางการค้าที่สำคัญระหว่างตะวันออกและตะวันตกได้ผ่านไปทางช่องแคบซุนดาทำให้ปัตตาเวีย (จาการ์ตา) เจริญรุ่งเรืองขึ้น ส่วนมะ ละกาและบรูไนก็เสื่อมลง การเปลี่ยนแปลงยังเกิดขึ้นต่อไปอีกเมื่อมลายูเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในทางการเมืองระหว่างประเทศอีกครั้งหนึ่งเมื่ออังกฤษรื้อฟื้นความสนใจของตนในมาเลเซียในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18  การก่อตั้งถิ่นฐานในปีนังและสิงคโปร์ได้ทำให้การค้ากลับคืนสู่ช่องแคบมะละกามากขึ้นและในที่สุดก็ทำให้เกิดการพัฒนาสินแร่อันอุดมสมบูรณ์ของมาเลเซียสมัยใหม่  และในระยะเดียวกันนี้ชาวอังกฤษได้เริ่มให้ความสนใจซาราวักและซาบาห์อันนำไปสู่การมีอิทธิพลของอังกฤษขึ้นที่นั่น เพราะฉะนั้น ฐานะของมาเลเซียในประวัติศาสตร์จึงขึ้นๆลงๆ ตามความสนใจของชาติมหาอำนาจและการล่าอาณานิคมเมืองขึ้นจากโลกตะวันตก                                                                                                                             นอกจากนี้การแผ่ขยายของศาสนาอิสลามทำให้เกิดการก่อตั้งระบบสุลต่าน หรืออิทธิพล จากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษซึ่งทำให้เกิดการก่อตั้งสเตรตส์ เซ็ตเติลเมนท์ (Straits settlements)    อันเป็นการกำหนดท่าทีอย่างชัดเจนของอังกฤษต่อภูมิภาคส่วนนี้ยังผลให้เกิดอิทธิพลการคุ้มครองของ อังกฤษเหนือรัฐมลายูจนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19    จีนจึงเริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อมาเลเซียแต่ยังนับว่า น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับอิทธิพลของอินเดียและถึงแม้ว่ามาเลเซียจะตั้งอยู่ครึ่งทางระหว่างจีนกับอินเดีย แต่ในระหว่างศตวรรษก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19  นั้นอินเดียก็ยังมีอิทธิพลอยู่ในคาบสมุทรและหมู่เกาะของมาเลเซียมากกว่าจีนอยู่นั่นเอง
ที่มา
วิทย์   บัณฑิตกุล.   ประวัติศาสตร์มาเลเซีย.  พิมพ์ครั้งที่1.  กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์. หน้า13

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น